ดับบลิวดีซี เผยภาพรวมตลาดกระเบื้องปูพื้นผนังตลาดกลาง–บนยังมีช่องว่าง ส่วนตลาดล่างแข่งเดือดโดยเฉพาะสินค้าเซรามิก เปิดแผนปี62 เตรียมขยาย 2 โชว์รูมใหม่ที่หาดใหญ่–พัทยา ล่าสุดดึงทีมขายจากมาเลย์เสริมทัพสร้างความแกร่ง ตั้งเป้า 2 ปีขยายฐานลูกค้าครอบคลุม 10 ประเทศ คาดกสิ้นปี61ยอดขายเติบโตตัวเลข2หลัก


นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ดับบลิวดีซี (WDC )ผู้นำเข้ากระเบื้องนำเข้าระดับบน-ล่าง เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดกระเบื้องปูพื้นผนังในประเทศไทยว่า มีมูลค่าตลาดรวมที่ 28,000 ล้านบาทซึ่งWDC มีส่วนแบ่งตลาด 2% โดยมองว่าตลาดกระเบื้องระดับกลาง-บนยังมีโอกาสในการทำตลาด และสามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้อีกมาก ส่วนตลาดล่าง จะมีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะเซรามิก ที่ส่วนใหญ่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี2562 จะขยายโชว์รูมเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่พัทยา จ.ชลบุรี และหาดใหญ่ จ.สงขลา ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้ว โดยแต่ละโชว์รูมจะใช้พื้นที่ประมาณ 200-400 ตารางเมตร ใช้เม็ดเงินลงทุนตั้งแต่ 6-10 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดินและศักยภาพของแต่ละพื้นที่

ส่วนปี2561 มีการเปิดโชว์รูมใหม่เพียง 1 แห่งเท่านั้นคือบริเวณด้านหน้าคลังสินค้าของบริษัท ย่านลำลูกกาคลอง6-7 มีพื้นที่ประมาณ300-400 ตารางเมตร ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณกว่า 10 ล้านบาท โดยจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในเดือนธันวาคมนี้จากปัจจุบันที่มีโชว์รูมอยู่ 2 แห่ง คือที่ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์(Crystal Design Center)หรือCDC และที่จ.ภูเก็ต

นอกจากนี้ในช่วง 1 เดือนเศษที่ผ่านมาบริษัทได้ดึงทีมงานด้านการขายจากบริษัทสหรัฐฯในประเทศมาเลเซีย เข้ามาเสริมความแกร่งด้วยการนำเรื่องระบบการขายของสหรัฐมาใช้ในบริษัทฯ ที่ปัจจุบันการขายจะแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง ที่จะต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกมาประกอบการซื้อ-ขายด้วย และต้องทันกับเทรนด์สินค้าในแต่ละปี ซึ่งบริษัทจะคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า โดยปัจจุบันลูกค้าจะนิยมซื้อกระเบื้องที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพราะจะมีความสวยงามและไร้รอยต่อมากกว่ากระเบื้องขนาดเล็ก ขณะนี้กระเบื้องขนาดใหญ่สุดที่บริษัทฯนำเข้ามาจำหน่ายคือ 1.60 X 3.20 เมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3,000-10,000 บาทขึ้นไป แต่ขนาดที่ได้รับความนิยมมากสุดคือ 60X60 เมตร นำเข้ามาจาก 7 ประเทศหลักคือ อิตาลี, สเปน, จีน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย,เวียดนามและอินเดีย ซึ่งดีไซน์จากอิตาลีจะได้รับความนิยมสูงสุด

ส่วนตลาดส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศนั้น บริษัทฯเพิ่งเริ่มดำเนินการไปได้เพียง 8-9 เดือน ใน 3 ประเทศ คือ ไต้หวัน เวียดนาม และออสเตรเลีย คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่า 10% คาดว่าภายในระยะเวลา2 ปีจะสามารถขยายฐานการส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย กัมพูชา เมียนมา อินโดนีเซีย ลาว บราซิล และอาร์เจนติน่า

ปัจจุบันช่องทางจัดจำหน่ายของบริษัทจะทำการขายผ่านรูปแบบการค้าส่ง ,การขายโครงการ และการค้าปลีก โดยการค้าส่งประกอบด้วยกลุ่มโมเดิร์นเทรดด้านวัสดุก่อสร้าง กลุ่มนักออกแบบ หรือดีไซเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก นักออกแบบอิสระ หรือ ดีไซน์เนอร์ในบริษัทต่างๆ ตลอดจนผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่รายเล็ก ส่วนกลุ่มเป้าหมายการค้าปลีกก็จะเป็นผู้บริโภคทั่วไปที่เริ่มสนใจการออกแบบตกแต่งบ้านด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตามคาดว่าในปีนี้ยอดขายรวมของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตในตัวเลข2หลัก พร้อมตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านวัสดุตกแต่งพื้นและผนังที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ จากปี2560 ที่สามารถทำยอดขายได้ 590 ล้านบาท